แต่หลายครั้งที่เจอคำถามแบบนี้ ก็มักจะมานั่งนึก นอนนึก ตะแคงนึก หรือแม้แต่ตีลังกานึกเลยก็มี เพื่อที่จะหาคำตอบที่คนถามพอใจให้ได้ และแล้ว ก็มาลงที่จุดนี้สินะ ที่คิดว่าน่าจะพอใจกันทั้งสองฝ่าย 555++
วิธีพิชิตข้อสอบ O-net ที่ผมได้นั่งคิด พิจารณา และคิดว่าน่าจะช่วยให้คนที่จะเข้าสู่สนามสอบได้รู้สึกผ่อนคลายไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไป ซึ่งวิธีนี้ ผมนำมาจากประสบการณ์ของตัวเอง และก็จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน ที่ได้พบเจอกันมา ก็ต้องขอสงวนนามของท่านเหล่านั้นเอาไว้นะคับ เพราะส่วนใหญ่จะ
ขี้อาย ไม่อยากออกสื่อกัน
ก็ไม่ขออ้างอิง หรือกล่าวอ้างทฤษฎีใดๆ นะครับ เพียงแค่ว่า เคยเรียนรู้มาแบบนี้ แล้วก็ค่อนข้างจะได้ผลเสียด้วย ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
หลักสูตรการพิชิตข้อสอบ O-net มีตังต่อไปนี้
1. เข้าใจหลักการของ Parts of Speech
Parts of Speech คืออะไร มีอะไรบ้าง และมีมีวิธีใช้อย่างไรParts of Speech ประกอบไปด้วย
1. Noun (คำนาม)
1. Father, man, lady, John, Peter, Susan, Sarah
2. Fish, bird, cat, buffalo, mosquito, dolphin
3. pen, book, table, car, clock, computer
4. School, city, home, hospital, train station
5. Love, happiness, wisdom, honesty
***ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คุณสมบัติ รวมถึงชื่อของสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยเช่นกัน***
2. Fish, bird, cat, buffalo, mosquito, dolphin
3. pen, book, table, car, clock, computer
4. School, city, home, hospital, train station
5. Love, happiness, wisdom, honesty
***ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คุณสมบัติ รวมถึงชื่อของสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยเช่นกัน***
2. Pronoun (คำสรรพนาม)
1. I, we, you, they, he, she, it
2. Something, someone, somebody
3. This, that, these, those
•แทนคำนาม
•แทนสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
•แทนสิ่งที่รู้หรือเห็นอยู่แล้ว
*** แทนคำนาม หลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ บางครั้งแทนคำนามที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร หรือแทนสิ่งที่รู้หรือเห็นอยู่แล้ว***
2. Something, someone, somebody
3. This, that, these, those
•แทนคำนาม
•แทนสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
•แทนสิ่งที่รู้หรือเห็นอยู่แล้ว
*** แทนคำนาม หลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ บางครั้งแทนคำนามที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร หรือแทนสิ่งที่รู้หรือเห็นอยู่แล้ว***
3. Verb (คำกริยา)
1. run, eat, watch, laugh, hit, speak, jump2. be, have, exist,
3. Seem, taste, become, believe, doubt
•บอกการกระทำ
•แสดงความเป็นอยู่
•บอกสภาวะ ***บอกการกระทำหรืออาการ ความเป็นอยู่ หรือสภาวะต่างๆ***
4. Adjective (คำคุณศัพท์)
1. Pete is smart.2. She bought a new cell phone.
3. The shorts are green.
4. These pupils are young.
5. Those are Thai boys.
•บอกคุณสมบัติ
•สี
•อายุ
•สัญชาติ ***ใช้ขยายหรืออธิบายคำนามหรือสรรพนาม เพื่อให้ได้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้น***
5. Adverb (กริยาวิเศษณ์)
1. The little girl behaves badly.2. We will do the work tomorrow.
3. She has searched everywhere for her handbag.
•บอกลักษณะ
•บอกเวลา
•บอกสถานที่
***ขยายหรืออธิบายคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับลักษณะอาการ เวลา หรือสถานที่ ***
6. Preposition (คำบุพบท)
1. We go at five o’clock.2. He is hiding behind the car.
3. John jumped into the air.
4. She killed the tie by playing games.
•แสดงเวลา
•แสดงสถานที่
•แสดงทิศทาง
•แสดงวิธีการ
***ใช้เชื่อมคำนามหรือสรรพนาเข้ากับคำอื่นในประโยค เพื่อแสดงความสัมพันธ์ หรือทำให้ความหมายของประโยคสมบูรณ์มากขึ้น***
7. Conjunction (คำสันธาน)
1. Linda picked up a brush and mirror.2. Laura went across the street and into a shop.
3. He never studied hard but he got good grade.
•เชื่อมคำ
•เชื่อมกลุ่มคำ
•เชื่อมประโยค ***คำที่ใช้เชื่อมคำ กลุ่มคำ หรือประโยคเข้าด้วยกัน***
8.Interjection (คำอุทาน)
1. Ouch! Wow! Bravo! Oops! Oh!2. What a beautiful girl!
3. What an awful voice!
•อุทานเป็นคำ
•อุทานเป็นประโยค ***คำที่เปล่งเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง เช่น ดีใจ เสียใจ
ตื่นเต้น ประหลาดใจ โกรธ หรือตกใจ จะใช้เครื่องหมาย (!) ร่วมอยู่ด้วย***
2. เข้าใจหลักการของ Tenses ทั้ง 12 Tenses
ในเรื่องของ Tenses ทั้ง 12 Tenses นั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะว่าการที่เราจะอ่านประโยคให้เข้าใจนั้นต้องเข้าใจเรื่องของเวลาให้ได้ แต่ละ Tense หน้าตา โครงสร้างอย่างไร ต้องสร้างความคุ้นเคยให้ได้ในเวลาอันสั้น12 Tenses
Present Simple Tense คลิกที่นี่
3. เข้าใจหลักการของ Subject and Verb Agreement
Agreement of Subject and Verb คืออะไร มีหลักในการสังเกตอย่างไรบ้างAgreement of Subject and Verb คือ การสอดคล้องกันของประธานและกริยา นั่นหมายความว่า กริยาจะต้องผันตามพจน์ของประธาน เช่น
The dog chases the cat.
The dogs chase the cat.
โปรดสังเกตคำกริยาในประโยค ถึงความแตกต่างของการเขียน
เทคนิควิธีการที่จะช่วยในกาสังเกตการสอดคล้องกันระหว่างประธานและกริยา มีด้วยกัน 6 ข้อ ดังนี้
กฎข้อที่ 1 ประธานที่เป็นคำนามที่มีส่วนขยายตามหลัง กริยาจะสอดคล้องกับคำนามตัวหน้า
เช่น
The price of these trousers is reasonable.
กฎข้อที่ 2 ประธานที่มีคำนาม 2 คำ หรือมากกว่า แล้วเชื่อมด้วย and
เช่น
The manager and the secretary are at the convention room.
กฎข้อที่ 3 ประธานที่เชื่อมด้วย either…or…, neither…nor…,….or….หรือ not only ….but also…...กริยาจะผันตามประธานตัวหลัง
เช่น
Neither my gloves nor my backpack goes with this dress.
กฎข้อที่ 4 คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ ใช้กริยาเป็นเอกพจน์ เช่น each, everybody, everyone, everything, somebody, someone, something, anybody, anyone, anything, nobody, no one, nothing
เช่น
Everybody talks about the accident.
กฎข้อที่ 5 A number of + นามพหูพจน์ ใช้กริยาพหูพจน์ และ The number of + นามพหูพจน์ ใช้กริยาเอกพจน์
เช่น
A number of students like the new teacher.
กฎข้อที่ 6 ประธานต่อไปนี้ กริยาเป็น เอกพจน์ เสมอ
ชื่อโรค mumps, measles
ชื่อวิชา physics, mathematics
ชื่อหนังสือ ภาพยนตร์ Speeds, Star Wars
ระยะทาง/ระยะเวลา seven miles, thirty days
ชื่อโรค mumps, measles
น้ำหนัก ส่วนสูง four tons, 100 cm.
จำนวนเงิน 1,000 dollars
V+ ing หรือ to v. เช่น walking, to play
เช่น
Six months is a long time to wait.
รายละเอียดของเนื้อหา สามารถดูเพิ่มเติมได้จากวีดีโอ
ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดาวโหลดได้ทีนี่ คลิกเพื่อดาวโหลด
4. เข้าใจหลักการของการเดาคำศัพท์จากบริบท Context Clue
คำว่า context หมายถึง ปริบท หรือ บริบท ส่วนคำว่า clue หมายถึง ตัวชี้แนะ
อุปสรรคที่มักพบบ่อยๆ ในการอ่านภาษาอังกฤษก็คือ การไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่านได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ไม่สามารถตีความโจทย์ข้อสอบได้ อ่านไม่เข้าใจ ทำข้อสอบได้ไม่ดี วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ต้องรู้ความหมายศัพท์และสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องนั่นเอง
แต่การรู้ความหมายศัพท์โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม (Dictionary) นั้น ทำได้อย่างไร คำตอบก็คือ มีความจำเป็นที่จะต้องเดาความหมายนั้นจากบริบท (Context) ซึ่งหมายถึง ข้อความ หรือศัพท์หลายๆ คำซึ่งอยู่แวดล้อมคำศัพท์ตัวที่เราไม่รู้ความหมาย แล้วทำให้เดาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้ได้ โดยให้มีความผิดพลาดน้อยที่สุดนั่นเอง
บริบทเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเข้าใจคำศัพท์ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะ ความหมายของคำ คำใดคำหนึ่งนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งอยู่ข้างเคียงด้วย
วันนี้มีตัวอย่างของการเดาความหมายจากบริบท มาให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกันนะคับ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วว่า ยิ่งฝึกฝนเท่าไหร่ เราก็จะมีความชำนาญ และมีเชี่ยวชาญในการอ่านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
มาเริ่มกันเลย
อุปสรรคที่มักพบบ่อยๆ ในการอ่านภาษาอังกฤษก็คือ การไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่านได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ไม่สามารถตีความโจทย์ข้อสอบได้ อ่านไม่เข้าใจ ทำข้อสอบได้ไม่ดี วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ต้องรู้ความหมายศัพท์และสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องนั่นเอง
แต่การรู้ความหมายศัพท์โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม (Dictionary) นั้น ทำได้อย่างไร คำตอบก็คือ มีความจำเป็นที่จะต้องเดาความหมายนั้นจากบริบท (Context) ซึ่งหมายถึง ข้อความ หรือศัพท์หลายๆ คำซึ่งอยู่แวดล้อมคำศัพท์ตัวที่เราไม่รู้ความหมาย แล้วทำให้เดาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้ได้ โดยให้มีความผิดพลาดน้อยที่สุดนั่นเอง
บริบทเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเข้าใจคำศัพท์ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะ ความหมายของคำ คำใดคำหนึ่งนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งอยู่ข้างเคียงด้วย
วันนี้มีตัวอย่างของการเดาความหมายจากบริบท มาให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกันนะคับ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วว่า ยิ่งฝึกฝนเท่าไหร่ เราก็จะมีความชำนาญ และมีเชี่ยวชาญในการอ่านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
มาเริ่มกันเลย
Synonyms as Context Clues
คำที่มีความหมายเหมือนกัน หรือ คล้ายกัน ที่ปรากฏในประโยค เช่น- It was an idyllic day; sunny, warm and perfect for a walk in the park.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า idyllic ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำที่อยู่หลังเครื่องหมาย ( ; ) นั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยคำว่า sunny (แดดจ้า) warm (อบอุ่น) และ perfect (ดี, ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้งหมดเป็นคำที่ความหมายเชิงบวกทั้งหมดเลย
ถ้าจะเดาความหมาย ควรเอาคำเหล่านี้มาประมวลผลรวมกัน ส่วนวลี for a walk in the park (สำหรับการเดินเล่นในสวนสาธารณะ) ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้เราเดาความหมายได้เช่นกัน ซึ่งโดยรวมๆ แล้ว คำว่า idyllic (adj.) ควรจะมีความหมายในทางที่ดี ไม่งั้นคงไม่เหมาะที่จะออกไปเดินเล่นเเน่ ๆ
idyllic หมายถึง งดงาม หรือ ชวนตาชวนใจ ซึ่งมีคำที่มีความหมายคล้ายกันอีกก็อย่างเช่น คำว่า picturesque นั่นเอง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า มันเป็นวันที่ดี แดดอุ่น และเหมาะมากสำหรับการไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ - She hums continuously, or all the time, and it annoys me.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า continuously ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'or' นั่นเอง
หลังคำนี้ มีวลี all the time (ตลอดเวลา) ซึ่งแปลง่ายกว่าคำแรก และมีความหมายเดียวกัน แน่นอน ถ้าเราไม่รู้หลักการอ่านลักษณะนี้ เราก็คงต้องค้นหาคำในพจนานุกรมแน่ๆ เพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้การอ่านหยุดชะงัก ขาดอัถรสในการอ่านไปเลย
continuously (adv.) หมายุถึง ติดต่อกันตลอดไป, บ่อยๆ, ไม่ขาดสาย, เรื่อยไป
ประโยคนี้จึงมีความหมายว่า เธอร้องเพลงเบาๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด และทำให้ฉันรู้สึกรำคาญ - The dates are listed in chronological order. They start at the beginning and end with the last event.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า chronological ส่วนตัวชี้แนะก็คือ start at the beginning and end with the last event (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นส่วนที่เราต้องนำมาตีความ เพือเดาความหมายของคำที่เป็นอุปสรรค
ประโยคนี้จึงมีความหมายว่า วันที่ถูกจัดเรียงไว้ตามลำดับก่อนหลัง มันเริ่มตั้นและสิ้นสุดตามลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง - Her animosity, or hatred, of her sister had divided the family.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า animosity ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'or' นั่นเอง หลังนี้ มีคำว่า 'hatred'(n.) อ่านว่า เฮ-เทร็ด (เกลียด, ชัง, โทสาคติ, น่าเกลียดชัง, น่าเบื่อ, พึงรังเกียจ, รังเกียจ, ร้ายกาจ) ซึ่งเป็นคำที่น่าจะเคยพบ มากกว่าคำที่เป็นอุปสรรค
ประโยคนี้จึงหมายความว่า ความเกลียดชังของเธอ ที่มีต่อพี่/น้องสาวของเธอเอง ได้ทำให้ครอบครัวเกิดการแตกแยก
- Bill felt remorse, or shame, for his harsh words.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า remorse ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'or' นั่นเอง หลังนี้ มีคำว่า 'shame' (adj.) (สำนึกผิด, ละอายใจ) ซึ่งน่าจะง่ายกว่า เป็นตัวชี้แนะในการอ่าน ส่วนวลี for his harsh words (สำหรับคำพูดที่รุนแรง) ก็พอจะช่วยในการเดาความหมายได้อีกแรงหนึ่ง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า บิลรู้สึกละอายใจหรือสำนึกผิดในการที่เขาพูดอะไรที่รุนแรงออกไป - This situation is a conundrum - a puzzle.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า conundrum (n.) อ่านว่า คอน-นัน-ดรัม ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำที่อยู่หลังเครื่องหมาย ( - ) นั่นเอง ซึ่งก็คือคำว่า puzzle (n.) อ่านว่า พัส-เซิ่ล (ปริศนา)
ประโยคนี้จึงหมายความว่า สถานการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่
Antonyms as Context Clues
คำที่มีความหมายตรงข้ามกัน ที่ปรากฏในประโยคเช่น- Emma had a lot of anxiety about the exam but I had no worries about it.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า anxiety (n.) อ่านว่า แอน-ไซ-ตี้ ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'but' นั่นเอง หลังคำนี้ มีประโยค I had no worries about it (ฉันไม่มีความกังวลกับมันเลย) เป็นตัวช่วยในการเดาความหมายของคำที่เป็นอุปสรรคนั้น
ประโยคนี้จึงหมายความว่า เอ็มม่ามีความกังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับการสอบ แต่ ฉันไม่มีความกังวลกับมันเลย - Marty is gregarious, not like his brother who is quiet and shy.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า gregarious (adj.) อ่านว่า กเร-แก-เรียส ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ วลี not like his brother (ต่างจากพี่/น้องชายของเขา) และประโยค who is quiet and shy (ผู้ซึ่งเงียบและขี้อาย) แน่นอน คำที่ตรงข้ามกับความหมายนี้ น่าจะเป็น ชอบเข้าสังคม ชอบพบปะผู้คน หรือ ชอบอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน นั่นเอง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า นายมาร์ตี้เป็นคนชอบเข้าสังคม ซึ่งต่างจากพี่/น้องชายของเขาผู้ซึ่งเงียบและขี้อาย - She is a famous singing star in her country but unknown to the rest of the world.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า famous (adj.) อ่านว่า เฟ-มัส ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'but' นั่นเอง หลังคำนี้ มีประโยค unknown to the rest of the world (ไม่เป็นที่รู้จักในที่อื่นๆ) เป็นตัวช่วยในการเดาความหมายของคำที่เป็นอุปสรรคนั้น
ดังนั้น พอจะคาดเดาได้ว่า คำว่า famous (มีชื่อเสียง) นั้นมีความหมายตรงข้ามกับคำว่า unknown (ไม่เป็นที่รู้จัก) นั่นเอง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า เธอเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในประเทศของเธอ แต่ว่าไม่เป็นที่รู้จักในที่อื่นๆ - I am willing to hike in the mountains, but he is reluctant because it gets so cold walking up and down the trails.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า reluctant (adj.) อ่านว่า รี-ลัค-แท่น ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า 'but' นั่นเอง และถ้าจะมองย้อนกลับไปยังประโยคแรก คือ I am willing to hike in the mountains จะเห็นคำว่า willing (เต็มใจ) ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการเดาความหมายได้อย่างดี ซึ่งคำๆ นี้ น่าจะเป็นที่คุ้นเคยมากกว่าคำว่า reluctant (ไม่เต็มใจ)
ประโยคนี้จึงหมายความว่า ฉันเต็มใจที่จะไต่ขึ้นไปบนเขา แต่เขาไม่เต็มใจเพราะว่าอากาศหนาวมากในการเดินขึ้นเดินลงตามเส้นทาง
Definitions as Context Clues
ตัวชี้แนะที่มาในรูปของความหมายหรือคำจำกัดความ เช่น- The manager wanted a weekly inspection, which is a methodical examination of all the equipment.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า inspection (n.) อ่านว่า อิน-สเปค-ชั่น ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า which is (หมายถึง) และ a methodical examination of all the equipment คือส่วนที่เราต้องนำมาประมวลผล เพื่อตีความ ความหมายของคำอุปสรรคนั้น
แน่นอน คำว่า examination (n.) (การตรวจสอบ) น่าจะเป็นที่รู้จัก หรือเคยพบเจอมามากกว่าคำว่า inspection แน่นอน จึงพอจะทำให้เราเดาความหมายของศัพท์ยากได้อย่างใกล้เคียงที่สุด
ประโยคนี้จึงหมายความว่า ผู้จัดการต้องการให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดทุกๆสัปดาห์ ซึ่งต้องมีการดูแลตรวจสอบอุปปรณ์ต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ - There was a lot of tangible evidence, including fingerprints and DNA, to prove them guilty.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า tangible evidence (n.) อ่านว่า แทง-กิ-เบิล , เอฟ-ฟิ-เดน ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ including fingerprints and DNA (รวมทั้ง ลายนิ้วมือ และ DNA) , to prove them guilty (เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขามีความผิด) ก็จะช่วยขยายความให้เกิดรูปธรรมชัดเจนขึ้น
tangible evidence (n.) หมายถึง หลักฐานที่เป็นรูปธรรม
ประโยคนี้จึงหมายความว่า มีหลักฐานมากมายที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งลายนิ้วมือ และ DNA เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขามีความผิด - There is a 30 percent chance of precipitation, such as snow or sleet.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า chance of precipitation (n.) อ่านว่า แช้น-ออฟ-พรี-ซิพ-พิ-เท-ชั่น ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า such as (เช่น) ด้านหลังมีคำว่า snow (หิมะ) และ sleet (ลูกเห็บ) ซึ่งต่างก็เป็นฝนชนิดหนึ่ง ก็พอจะเดาได้ว่า คำที่เป็นอุปสรรคนี้หมายความว่าอย่างไร
ประโยคนี้จึงหมายความว่า มีโอกาสแค่ 30% ที่ฝนจะตก เช่น หิมะ หรือ ลูกเห็บ
Comparisons as Context Clues
คำเปรียบเทียบ เช่น- Eating nutritious food is just as important as regular exercise.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า nutritious (adj.) อ่านว่า นิว-ทริ-เชียส ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ as.....as นั่นเอง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า การกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนั้นจะมีความสำคัญเท่าๆ กับการออกกำลังกายเป็นประจำ
- I am determined to graduate with honor and my friend is just as resolute.
ประโยคนี้ คำที่เป็นอุปสรรคคือคำว่า determined (adj.) อ่านว่า ดี-เทอ-มิน ส่วนคีย์เวิร์ดที่ช่วยในการเดาก็คือ คำว่า as นั่นเอง และคำที่นำไปสู่ความหมายของคำนี้ก็คือคำว่า resolute (adj.) แน่วแน่ มั่นคง
ประโยคนี้จึงหมายความว่า ฉันตั้งใจจะสำเร็จการศึกษาอย่างมีเกียรติและเพื่อนของฉันก็(ตั้งใจ)เช่นเดียวกัน
Contrasts as Context Clues
คำที่มีความหมายตรงข้าม เช่น- The picture of the landscape is picturesque but the one of the old house is ugly.
ประโยคนี้ คำยากก็คือคำว่า picturesque (adj.) สวยงาม วิจิตร แต่ถ้าอ่านต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอคำว่า ugly (adj.) น่าเกลียด ไม่สวย และจุดสังเกตอีกจุดหนึ่งก็คือ คำสองคำนี้ทำหน้าที่ในประโยคแบบเดียวกันเลย
ประโยคนี้จึงหมายความว่า ภาพวิวทิวทัศน์นั้นมีความสวยงาม แต่อีกภาพที่เป็นภาพบ้านหลังเก่านั้นไม่สวยเลย - The feral cat would not let us pet him, unlike our tame cat.
ประโยคนี้ จะมีคำว่า feral (adj.)ดุร้าย และ tame (adj.) เชื่อง เป็นคำที่มีความหมายตรงข้ามกัน
ประโยคนี้จึงหมายความว่า แมวที่ดุร้ายจะไม่ยอมให้เราเลี้ยงดู ต่างจากแมวที่เชื่องๆ - Cold weather soon replaced the sweltering heat of summer.
ประโยคนี้ จะมีคำว่า cold(adj.) หนาว เย็น และ sweltering heat (adj.) ร้อนระอุ เป็นคำที่มีความหมาย
ตรงข้ามกัน - The hero was virtuous, not like the evil villain.
ประโยคนี้ จะมีคำว่า virtuous (adj.) บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และ villain (adj.) คดโกง เป็นคำที่มีความหมาย
ตรงข้ามกัน
Explanations as Context Clues
มาในรูปแบบของการอธิบาย เช่น- The team was elated when they won the trophy. ประโยคนี้ คำยากก็คือคำว่า elated (adj.) และจะมีคำอธิบายให้เราได้ตีความต่อไปอีกคือ when they won the trophy (เมื่อพวกเขาได้ถ้วยรางวัล) แน่นอนการประสบความสำเร็จ ย่อมต้องยินดี ดีใจ ซึ่งน่าจะเป็นความหมายของคำที่เราต้องการทราบความหมาย
- Something in the refrigerator has a putrid odor; the smell was rotten when we opened the door.
ประโยคนี้ คำยากก็คือคำว่า putrid (adj.) เน่าเหม็น ส่วนคำที่จะช่วยในการเดาความหมาย ก็คือคำว่า rotten (adv.) เน่าเสีย ซึ่งเป็นคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ประโยคนี้จึงมีความหมายว่า บางอย่างในตู้เย็นส่งกลิ่นเน่าเหม็น กลิ่นเน่าโชยมาเมื่อเราเปิดประตูตู้เย็น - He winced in pain when he hit his thumb with the hammer.
ประโยคนี้ คำยากคือคำว่า winced (v.) แต่ถ้าเราอ่านต่อไปอีก จะทำให้พอเดาความหมายได้ จากประโยค เมื่อเขาตอกไปโดนนิ้วมือของเขาเอง นั่นพอจะเดาได้ว่า คำนี้ หมายถึง ร้องออกมาดังๆ ด้วยความเจ็บปวด
เชื่อว่า หากท่านให้เวลากับการฝึกฝน และศึกษาอย่างจริงจัง ท่านย่อมจะเกิดความชำนาญในการเดาศัพท์จากบริบท และสามารถนำไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวท่านเองอย่างแน่นอน
ประโยคนี้จึงมีความหมายว่า ทีมมีความสุข เมื่อพวกเขาได้ถ้วยรางวัล
- ดาวโหลดไฟล์ได้ที่นี่ ดาวโหลดฟรี
หวังว่าบทความนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งน้องๆ นักเรียน นักศึกษาที่เตรียมตัวเข้าสอบในเวทีต่างๆ นะคับ
ลองนำไปใช้ดูนะคับ เชื่อว่า ถ้าเข้าใจหลักการทั้ง 4 ข้อ นี้แล้ว และนำไปฝึกฝนบ่อยๆ จะทำให้มีทักษะในการอ่าน เขียน ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เป็นกำลังใจให้คับ สู้ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น