และคำว่า Continuous คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า Verb to be กับ กรยาเติม -ing ย่อมขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าจะไล่ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้างประโยค จะเป็นดังนี้
นี่คือโครงสร้างของ Future
และนี่ก็คือ โครสร้างของ Continuous
และเมื่อนำทั้งสองโครงสร้างนี้มารวมกัน ก็จะได้โครงสร้างประโยค ดังนี้
2. เป็น verb to be ให้กับความเป็น continuous
และแน่นอน เวลาที่อ้างถึงซึ่งเป็นฉากของเหตุการณ์ของ Tense นี้ เป็นเวลาใน อนาคต เพราะชื่อก็บอกอยู่ชัดเจนแล้วว่า เป็น Future
Tomorrow, from 9 to 12, I will be studying. Please don't come along that time.
พรุ่งนี้ตอน 9 ถึง 12 โมงเช้า ฉันจะกำลังเรียนอยู่ กรุณาอย่าเสนอหน้ามาหาในช่วงนั้นเด็ดขาด (555)
2. ต้องใช้เวลา
3. ในช่วงเวลาที่ระบุไปนั้น การเรียนของเขายังไม่เสร็จ
ซึ่งถ้าจะมองให้ลึกลงไปอีก จะเห็นว่า การเรียนของคนๆนี้ เป็นฉากๆ หนึ่ง และเปิดโอกาสให้เหตุการณ์เดี่ยวเข้ามาแทรก
มาดูอีกสักตัวอย่าง
Please don't come at 7 pm tomorrow, because I will be having dinner with my parents.
กรุณาอย่ามาตอนหนึ่งทุ่มพรุ่งนี้ เพราะว่าฉันจะกำลังทานมื้อเย็นกับพ่อแม่ของฉัน
1. การทานอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องชั่วคราว (คงไม่มีใครกินมื้อเย็นจนไม่หยุด)
2. การทานมื้อเย็นต้องใช้เวลาพอประมาณ ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวก็เลิก
3. และตอนหนึ่งทุ่มพรุ่งนี้นั้นฉันก็จะกำลังทานมื้อเย็นอยู่ ยังไม่อิ่ม
อีกตัวอย่างก็แล้วกัน เพื่อความเข้าใจมากขึ้น
Will you be learning the guitar with your teacher next year?
ปีหน้าคุณจะยังเรียนกีตาร์กับคุณครูของเธออยู่ไหม
2. การเรียนย่อมต้องใช้ระยะเวลา
3. และการเรียนอยู่ในปีหน้าก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่สิ้นสุดตามเวลาที่อ้างถึงนั้นนั่นเอง
ถ้าหากว่าพอจะมองถึงลักษณะนิสัย ของ Tense นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็คงไม่ขอพูดถึงให้เกิดความรำคาญอีกต่อไป
ก็ขอให้ตั้งใจ เพ่งพินิจ พิจารณาถึงหลักโครงสร้าง และลักษณะนิสัยของ Tense นี้ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อความง่ายในการที่จะศึกษา ภาษาอังกฤษ ในโอกาสต่อไป
เป็นกำลังใจให้ครับ
GoGoGo
จุดที่น่าสังเกตจุดหนึ่งก็คือว่า 'be' ทำหน้าที่สองอย่างคือ
1. เป็นกริยาที่ยังไม่ผัน (infinitive)2. เป็น verb to be ให้กับความเป็น continuous
และแน่นอน เวลาที่อ้างถึงซึ่งเป็นฉากของเหตุการณ์ของ Tense นี้ เป็นเวลาใน อนาคต เพราะชื่อก็บอกอยู่ชัดเจนแล้วว่า เป็น Future
Tomorrow, from 9 to 12, I will be studying. Please don't come along that time.
พรุ่งนี้ตอน 9 ถึง 12 โมงเช้า ฉันจะกำลังเรียนอยู่ กรุณาอย่าเสนอหน้ามาหาในช่วงนั้นเด็ดขาด (555)
สรุปได้ว่า
1. การเรียนในว้นพรุ่งนี้เป็นเหตุการณ์ชั่วคราว2. ต้องใช้เวลา
3. ในช่วงเวลาที่ระบุไปนั้น การเรียนของเขายังไม่เสร็จ
ซึ่งถ้าจะมองให้ลึกลงไปอีก จะเห็นว่า การเรียนของคนๆนี้ เป็นฉากๆ หนึ่ง และเปิดโอกาสให้เหตุการณ์เดี่ยวเข้ามาแทรก
มาดูอีกสักตัวอย่าง
Please don't come at 7 pm tomorrow, because I will be having dinner with my parents.
กรุณาอย่ามาตอนหนึ่งทุ่มพรุ่งนี้ เพราะว่าฉันจะกำลังทานมื้อเย็นกับพ่อแม่ของฉัน
สรุปได้ว่า
2. การทานมื้อเย็นต้องใช้เวลาพอประมาณ ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวก็เลิก
3. และตอนหนึ่งทุ่มพรุ่งนี้นั้นฉันก็จะกำลังทานมื้อเย็นอยู่ ยังไม่อิ่ม
อีกตัวอย่างก็แล้วกัน เพื่อความเข้าใจมากขึ้น
Will you be learning the guitar with your teacher next year?
ปีหน้าคุณจะยังเรียนกีตาร์กับคุณครูของเธออยู่ไหม
สรุปได้ว่า
1. การเรียนเปียโนเป็นเรื่องชั่วคราว2. การเรียนย่อมต้องใช้ระยะเวลา
3. และการเรียนอยู่ในปีหน้าก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่สิ้นสุดตามเวลาที่อ้างถึงนั้นนั่นเอง
ถ้าหากว่าพอจะมองถึงลักษณะนิสัย ของ Tense นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็คงไม่ขอพูดถึงให้เกิดความรำคาญอีกต่อไป
ก็ขอให้ตั้งใจ เพ่งพินิจ พิจารณาถึงหลักโครงสร้าง และลักษณะนิสัยของ Tense นี้ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อความง่ายในการที่จะศึกษา ภาษาอังกฤษ ในโอกาสต่อไป
เป็นกำลังใจให้ครับ
GoGoGo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น